บวบงู บวบหอม บวบเหลี่ยม ต่างก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบวบเหมือนกัน จึงมีคำถามขึ้นมาว่า แล้วทั้ง 3 พันธุ์นี้ต่างกันตรงไหน พันธุ์ไหนน่ากินที่สุด วันนี้ KC Fresh มีมาเล่าให้รู้ค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ขึ้นชื่อว่า “บวบ” ก็จะมีประโยชน์ทุกชนิดทุกสายพันธุ์ค่ะ แต่จะมีคุณสมบัติโดดเด่นมากน้อยต่างกันไป ส่วนจุดร่วมที่เหมือนกันก็คือ บวบเป็นผักเป็นอีกหนึ่งชนิดที่เป็นแหล่งของวิตามินซีที่สามารถละลายในของเหลวในร่างกาย และยังช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยในการควบคุมอาหารได้ เพราะยิ่งเป็นบวบขนาดใหญ่ ซึ่งแม้ไม่มีสารอาหารมากนัก แต่มีน้ำมาก จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เพราะกินแล้วอิ่มเร็ว
นอกจากนี้ สารอาหารสำคัญในบวบคือ ซีตินและลูทีนยังช่วยปรับปรุงการมองเห็นและปกป้องดวงตาจากแสงแดด รวมไปถึงมีแมงกานีสที่มีส่วนในการดูแลเนื้อเยื่อและมีความสำคัญในการสร้างคอลลาเจน
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า บวบงู บวบหอม บวบเหลี่ยม ต่างกันตรงไหน คำตอบอยู่ด้านล่างแล้วค่ะ
เริ่มกันที่พันธุ์สุดฮิตอย่าง “บวบเหลี่ยม” แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเหลี่ยมย่อมต้องมีความเหลี่ยมที่ผิวนั่นเอง รูปทรงของผลก็จะมีทั้งพันธุ์เบาผลเล็กสั้น ขนาดยาวไม่เกิน 12 นิ้ว และยังมีพันธุ์หนัก ชนิดผลยาวประมาณ 2 ถึง 3 ฟุต ให้เลือก มีคุณค่าสารอาหารเทียบสัดส่วนในปริมาณ 100 กรัมดังนี้
ส่วน “บวบหอม” ชนิดผลสั้นจะมีลักษณะกลมรี ความยาวประมาณ 5 ถึง 6 นิ้ว และชนิดผลยาว ลักษณะกลมรี ความยาวของผลประมาณ 24 นิ้ว มีคุณค่าสารอาหารเทียบสัดส่วนในปริมาณ 100 กรัมดังนี้
สำหรับ “บวบงู” มีทั้งชนิดสีขาวและสีเขียวลายขาว เนื้อหนา ให้รสหวานดี ผลยาวประมาณ 2 ถึง 3 ฟุต มีคุณค่าสารอาหารเทียบสัดส่วนในปริมาณ 100 กรัมดังนี้
ในบรรดาบวบ 3 พันธุ์นี้ พันธุ์ที่นิยมมากๆ คือ บวบเหลี่ยม นั่นเป็นเพราะเรื่องของการให้ผลผลิตที่หากินได้ทั้งปี แต่ถ้าเป็นบวบหอม จะให้ผลผลิตเฉพาะฤดูฝน สำหรับบวบงู จะให้ผลผลิตมากในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั่นเอง ส่วนรสชาติเนื้อสัมผัสค่อนข้างใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับชอบกินแบบไหน และเจอบวบพันธุ์ที่ว่าในช่วงฤดูกาลใด แต่รับประกันว่า กินบวบฤดูไหนก็ได้ความอร่อยและมีประโยชน์เสมอค่ะ