ชะอม...ผักกินยอดประโยชน์เยี่ยม

เอาล่ะค่ะ มาอ่านเรื่องชะอมกันเลยดีกว่า

ชะอมเนี่ย เห็นว่าหน้าตาแนวๆ ต้นกระถิน แต่จริงๆ แล้วจัดอยู่ในวงศ์ถั่ว มีชื่อตามท้องถิ่นต่างๆ ดังนี้ค่ะ

• ภาคเหนือ เรียก “ผักหละ” แต่ถ้าเป็นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยจะเรียก “พูซูเด๊าะ”
• ภาคใต้ เรียก “อม
• ภาคอีสาน อุดรธานี เรียก “ผักขา”

สรรพคุณของชะอมมีตั้งแต่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง บำรุงสายตาเพราะมีวิตามินเอสูง แถมยังช่วยลดความร้อนในร่างกาย จึงเหมาะกับอุณหภูมิร้อนๆ ในบ้านเรา กินเข้าไปแล้วยังช่วยป้องกันโรคท้องผูก เพราะมีกากใยอาหารสูงจึงเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย

ชะอม นำมาทำเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น ไข่ชะอม แกงส้มชะอมกุ้ง แกงส้มชะอมไข่ ฯลฯ หรือถ้าไม่อยากปรุงจะนำมาลวกหรือนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริกก็ได้ นอกจากนี้บางคน ยังนำชะอมไปปรุงเป็นแกงรวมกับปลา เนื้อ ไก่  ไม่ว่าจะเป็นแกงคั่ว แกงอ่อม กงลาว แกงแค เป็นต้น

นอกจากนี้ในเรื่องความสวยความงามของเส้นผม ชะอมก็ช่วยนะคะ ถ้าใครมีปัญหาแห้งเสีย แตกปลาย ลองหมักผมด้วยสูตรน้ำชะอมหมักผมดูค่ะ เพียงแค่นำใบชะอมประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้น กรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วหมักผมไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออก ก็จะช่วยทำให้ผมแห้งๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่ในความดีงามก็ยังมีเรื่องที่ต้องระวังอยู่นะคะ นั่นก็คือ

1. คุณแม่ที่เพิ่งมีคลอดลูก ไม่ควรกินชะอม เพราะว่ากันว่าจะทำให้น้ำนมแม่แห้งได้
2. การกินชะอมในหน้าฝน อาจจะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุน ทำให้มีอาการปวดท้องได้
3. ชะอมมีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรกินในปริมาณที่จำกัด หากเป็นมากก็ไม่ควรกินเพราะจะทำให้ปวดกระดูกได้

คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม 100 กรัม

• พลังงาน 57 กิโลแคลอรี
• เส้นใยอาหาร 5.7 กรัม
• ธาตุแคลเซียม 58 มิลลิกรัม
• ธาตุฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม
• ธาตุเหล็ก 4.1 มิลลิกรัม
• วิตามินเอ 10066 IU
• วิตามินบี 1 0.05 มิลลิกรัม
• วิตามินบี 2 0.25 มิลลิกรัม
• วิตามินบี 3 1.5 มิลลิกรัม
• วิตามินซี 58 มิลลิกรัม