‘Curly Kale’ เคลใบหยิก ต่างอย่างไรกับ เคลใบตรง ‘Lacinato Dinosaur Kale’

ทำไมต้องเป็น 2 สายพันธุ์นี้?

ผักตระกูลเคลมีมากมายหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น Curly Kale, Lacinato Kale, Red Russian Kale, Ornamental Kale, Chinese Kale และ Redbor Kale ซึ่งทุกสายพันธุ์สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับความนิยม เพราะแต่ละสายพันธุ์มีรสชาติและผิวสัมผัสที่ต่างกัน

แต่สำหรับคนไทย นิยมบริโภค 2 สายพันธุ์ ได้แก่  เคลใบหยิก พันธุ์ Curly Kale และ เคลใบตรง พันธุ์ Lacinato Dinosaur Kale ด้วยเหตุผลว่าสามารถปลูกง่าย รสชาติกินง่าย

รสชาติเหมือนหรือต่างกัน

เคลใบหยิกมีให้เลือกทั้งแบบที่มีสีเขียวและสีม่วง รสชาติหวานหน่อยๆ ออกเผ็ดนิดๆ แต่ในเคลสีม่วงจะมีรสขมขึ้นมานิดๆ และมีกลิ่นฉุนเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นสีไหนนิยมนำมาผัดกระเทียม หรือ กินเป็นส่วนหนึ่งของสลัดมิกซ์ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำเป็นซุปข้นได้อร่อยไม่แพ้เมนูไหน

สำหรับเคลใบตรงหรือที่บางคนเรียกว่า เคลไดโนเสาร์ จะมีสีเขียวเข้มใบกว้าง ใบมีความกรอบมากกว่าแบบใบหยิก  รสชาติออกหวานมากกว่าแบบใบหยิก นิยมนำมาหั่นเป็นเส้นบางๆ คลุกเคล้าด้วยน้ำมันมะกอกกินเป็นสลัด

คุณค่าอาหารที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

ผลงานวิจัยจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ระบุว่า ‘เคล’ มีธาตุอาหารที่เหมาะกับทุกเพศวัย โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากมีแคลเซียมในปริมาณที่สูงมากๆ ทั้งยังมีโอเมก้า 3 ที่ดีต่อการเจริญเติบโต ดีต่อเนื้อเยื่อทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

นอกจากนี้ ยังมีผลงานวิจัยมากมายในต่งประเทศที่ระบุว่า เคลมี ‘ธาตุเหล็ก’ มากกว่าเนื้อวัว ซึ่งช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเซลล์และการทำงานของตับ รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และอุดมด้วย ‘วิตามินเอ’ ที่ช่วยในเรื่องการมองเห็นและป้องกันโรคมะเร็ง ‘วิตามินเค’ ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด ‘วิตามินซี’ ในการผลิตคอลลาเจน พร้อม ‘สารต้านอนุมูลอิสระ’ ที่ช่วยดูแลการเกิดริ้วรอยแรกเริ่ม และที่สำคัญ มี ‘Indole-3-Carbinol’ ที่ช่วยป้องกันมะเร็ง ซึ่งพบได้ในมากในผักตระกูลกะหล่ำ

แต่หากว่าอยากจะรู้ถึงประโยชน์ที่ครบถ้วนของเคลเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ในบทความ “ทำความรู้จักกันหน่อย “ผักเคล” (Kale) ผักปลอดภัยเพื่อสุขภาพมาแรง” ที่ KC Fresh เคยนำเสนอไปแล้วค่ะ