ถั่วฝักยาวแบบสั้นก็คือ “ถั่วแขก”

“ถั่วแขก (Bush bean)” มีรูปร่างหน้าตาที่ดูๆ แล้วเหมือนถั่วฝักยาว เพียงแต่มีขนาดสั้นกว่า แถมยังให้รสชาติหวานและกรอบกว่า ที่สำคัญมีโปรตีนสูง อุดมด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียมและวิตามินซี จึงมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด นอกจากนี้วิตามินซีในถั่วแขกยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

สำหรับที่มาที่ไปของถั่วแขกนั้น เริ่มจากที่เม็กซิโกค่ะ หลังจากนั้นได้มีการนำมาปลูกในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งก็เติบโตได้ดีมากๆ เพราะถั่วแขกเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้น ชอบดินร่วน เมื่อเข้ามาปลูกในบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อนก็เลยสามารถปลูกได้ในทุกภาคของไทย

ในเรื่องของสารอาหารที่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์นั้น ต้องขอบอกว่า ในถั่วแขกไม่ได้มีประโยชน์เพียงเรื่องสารอาหารที่ว่าไปแล้วเท่านั้น แต่ยังมีสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง และช่วยเรื่องความงาม เพราะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งว่ากันว่ากินถั่วแขกเป็นประจำจะเป็นวิธีหนึ่งในการชะลอวัยได้เป็นอย่างดี

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงสามารถใช้เป็นเหตุผลของความนิยมนำถั่วแขกมาปรุงอาหารได้ ซึ่งแม่บ้านทั้งชาวไทยและต่างชาติก็ชอบนำถั่วแขกมาสร้างสรรค์สารพัดเมนู ซึ่งนอกจากการนำถั่วแขกมาปรุงเป็นอาหารแล้ว ยังมีการนำเมล็ดถั่วแขกมาบดและทำเป็นแป้งเพื่อใช้ทำวุ้นเส้นหรือขนมหวาน รวมถึงแปรรูปเป็นอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารเสริมในรูปแบบเม็ดหรือผง อาทิ ซุปถั่วแขกในกระป๋อง ผงถั่วแขกพร้อมชงดื่ม เป็นต้น นอกจากนี้ เกษตรกรบางแห่งยังใช้ถั่วแขกเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์หรือใช้เลี้ยงสัตว์อีกด้วยนะคะ

ทั้งนี้การบริโภคถั่วแขกมีข้อควรระวังเล็กน้อยนั่นคือ ในถั่วแขกมีสารออกซาเลตเป็นจำนวนมาก หากว่ากินมากเกินไป อาจจะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้เพียงพออย่างที่ต้องการ นอกจากนี้เลคติน ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักที่พบได้ในถั่วแขกอาจทำเกิดปัญหาต่อระบบทางเดินอาหารได้ เช่น ท้องเสีย อาเจียน คลื่นไส้ หากกินมากเกินไป

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วแขก

• โปรตีน 1.9 กรัม
• แคลเซียม 78 มิลลิกรัม
• ฟอสฟอรัส 45 มิลลิกรัม
• เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
• วิตามินบี 1 0.07 มิลลิกรัม
• วิตามินซี 32 มิลลิกรัม
• ไนอะซิน 0.6 มิลลิกรัม